วิภาษงานเขียนของมุฮัมมัด อัต-ตีญานียฺ อัส-สะมาวียฺ : บทนำ

الحمد الله الذى هدانالهذا وماكنالنهتدى لولا أن هدا ناالله ، ونشهدأن لاإله إلا الله وحده لاشريك له ، وأن الله لهاد الذين آمنوا إلى صراط مستقيم ، ونشهد أن محمدا عبده ورسوله أرسله الله بالهدى ودين الحق ليظهره على الدين كله ولوكره المشركون ، ونصلى ونسلم على رسول الله محمد بن عبدالله وعلى آله الطاهرين وصحابته ومن تبعهم بايمان وإحسان إلى يوم الدين…أمابعد؛

   

“มุฮัมมัด อัต-ตีญานียฺ อัส-สะมาวียฺ” อดีตมุสลิมสุนนียฺชาวตูนิเซีย สังกัดมัซฮับอัล-มาลิกียฺ และเฏาะรีเกาะฮฺ อัต-ตีญานียะฮฺ ซึ่งภายหลังอ้างว่า “ได้รับทางนำ” และกลายเป็นชาวชีอะฮฺอิมามียะฮฺ ได้แต่งหนังสือประวัติศาสตร์อิสลามเชิงวิเคราะห์ และวิภาษแนวทางของชาวอะฮฺลิสสุนนะฮฺวัล-ญะมาอะฮฺจากมุมมองของฝ่ายชีอะฮฺอิมามียะฮฺ รวม 4 เล่ม คือ

 

1.ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้รับทางนำ (ษุมมะฮฺตะดัยตุ้) 2.ขออยู่กับผู้สัตย์จริง (ละอะกูนุ มะอัศศอดีกีน) ทั้งสองเล่มถูกแปลเป็นภาษาไทยและจัดพิมพ์โดยสถาบันดารุลอิลม์  3.จงถามผู้รู้ (ฟัสอะลู อะฮฺลัซซิกร์) และ 4.ชีอะฮฺคือซุนนะฮฺที่แท้จริง (อัช-ชีอะฮฺ ฮุมอะฮฺลุสสุนนะฮฺ) สองเล่มนี้ถูกแปลเป็นภาษาไทยและจัดพิมพ์โดยสถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม

 

หนังสือทั้ง 4 เล่มของอัต-ตีญานียฺถือเป็นคู่มือสำหรับชีอะฮฺอิมามียะฮฺในการวิภาษกลุ่มอะฮฺลุสสุนนะฮฺวัล-ญะมาอะฮฺ และเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเผยแพร่แนวความคิด ความเชื่อของกลุ่มชีอะฮฺอิมามียะฮฺในหมู่มุสลิมชาวสุนนียฺและผู้สนใจโดยทั่วไป เนื่องจากตัวผู้เขียนคือ “อัต-ตีญานียฺ” เคยเป็นชาวสุนนียฺมาก่อน มิได้เป็นชีอะฮฺมาแต่เดิม จึงถือว่าความเป็นกระบอกเสียงของอัต-ตีญานียฺให้แก่ฝ่ายชีอะฮฺอิมามียะฮฺมีคุณสมบัติพิเศษอันพึงประสงค์สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ

 

ดังปรากฏในคำนำผู้จัดพิมพ์หนังสือ “จงถามผู้รู้” (ฉบับแปลภาษาไทย) ว่า “ฝ่ายชีอะฮฺอิมามียะฮฺ นับว่าได้รับการพิสูจน์ถึงความเชื่อศรัทธาของตนไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ในหนังสือสี่เล่มของท่านดร.อัล-ติญานียฺดังกล่าว….จึงเหลืออยู่แต่ฝ่าย “ซุนนะฮฺ” ที่จะต้องเขียนหนังสือมา เพื่อปกป้องความเชื่อและหลักปฏิบัติของฝ่ายตน…” (คำนำผู้จัดพิมพ์ : จงถามผู้รู้ หน้า 10-11 สำนักพิมพ์ 14 พับลิเคชั่น สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม)

 

และยังปรากฏในคำนำผู้จัดพิมพ์อีกด้วยว่า : “ไม่มีประโยชน์ในเชิงวิชาการแต่ประการใดดอก ที่ฝ่ายซุนนะฮฺจะมาบอกกล่าวว่า ความเชื่อของชีอะฮฺเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายท่านโดยตรงก็คือ การเขียนชี้แจงแถลงไขของฝ่ายท่าน ให้ผู้คนรุ่นใหม่ของท่านเองได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงคำสอนที่เป็นความจริงของประเด็นต่างๆ…ด้วยเจตนารมณ์เพียงประการเดียวนี้เอง ที่สถาบันฯ ได้นำหนังสือ จงถามผู้รู้ พิมพ์ออกสู่สายตาของผู้อ่านที่เคารพ เพื่อท่านจะได้ใช้หนังสือนี้จำแนกแยกแยะความจริงออกจากความเท็จ และท่านสามารถเป็นผู้พิพากษาตัดสินคดีความที่ขัดแย้งกันระหว่างฝ่ายสุนนะฮฺกับชีอะฮฺได้ด้วยตนเอง เพื่อมุสลิมจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน…” (อ้างแล้ว หน้า 11-12) 

 

อนุสนธิจากคำร้องขอของผู้จัดพิมพ์ชาวชีอะฮฺข้างต้น และเพื่อสนองเจตนารมณ์ของฝ่ายชีอะฮฺตามที่เสนอมา จึงได้เขียนบทความนี้ขึ้น โดยหวังว่าผู้อ่านจะได้ใช้เนื้อหาจากบทความนี้จำแนกแยะแยะความจริงออกจากความเท็จ และสามารถเป็นผู้พิพากษาตัดสินความที่ขัดแย้งกันระหว่างฝ่ายสุนนะฮฺกับชีอะฮฺอิมามียะฮฺด้วยตัวผู้อ่านเอง และผู้เขียนบทความมิปรารถนาแต่อย่างใดที่จะให้มุสลิมเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะความเจตนารมณ์ของฝ่ายชีอะฮฺอิมามียะฮฺคือการทำให้มุสลิมสุนนะฮฺวัล-ญะมาอะฮฺยอมรับและกลายเป็นชีอะฮฺอิมามียะฮฺในท้ายที่สุด และนั่นคือความหมายของคำว่า “เป็นหนึ่งเดียวกัน” ที่แท้จริงสำหรับฝ่ายชีอะฮฺอิมามียะฮฺ!

 

ทว่าความปรารถนาของผู้เขียนบทความนี้คือ เพื่อให้ชาวมุสลิมอะฮฺลุสสุนนะฮฺวัล-ญามาะฮฺมีความเป็นหนึ่งเดียวในระหว่างกันและรู้เท่าทันกลุ่มชีอะฮฺอิมามียะฮฺ โดยพี่น้องมุสลิมชาวสุนนะฮฺวัล-ญะมาอะฮฺมีความตระหนักร่วมกันว่า ความเป็นหนึ่งเดียวใน “อัล-ญะมาอะฮฺ” คือสิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกฝ่ายซึ่งต่างก็อ้างว่าเป็น “อะฮฺลุสสุนนะฮฺวัล-ญะมาอะฮฺ” ด้วยกัน จะต้องดำรงรักษาเอาไว้บนพื้นฐานของกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ เพราะหลักความเชื่อที่ทุกฝ่ายในอะฮฺลิสสุนนะฮฺวัล-ญะมาอะฮฺเห็นพ้องตรงกันว่าเป็นเสาหลักกำลังถูกสั่นคลอนและถูกโจมตีอย่างเปิดเผยจากกลุ่มชีอะฮฺอิมามียะฮฺ

 

และพวกเขาก็ร้องขอให้อะฮฺลุสสุนนะฮฺวัล-ญะมาอะฮฺปกป้องหลักความเชื่ออันเป็นเสาหลักนั้นอีกด้วย จะเป็นความปรารถนาดีหรือจะเป็นการท้าทายก็แล้วแต่ เพราะถึงแม้ว่าฝ่ายชีอะฮฺอิมามียะฮฺไม่ร้องขอ ภารกิจในการปกป้องวิถีแห่งอะฮิลุสสุนนะฮฺวัล-ญะมาอะฮฺ และการทำความจริงให้ปรากฏ ทำความเท็จให้สิ้นลง ย่อมถือเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่กล่าวอ้างว่าเป็นอะฮฺลุสสุนนะฮฺวัล-ญะมาอะฮฺด้วยกันทั้งสิ้น

 

นี่คือเจตนารมณ์เพียงประการเดียวของผู้เขียนบทความ ส่วนกรณีของการมุ่งหวังให้ชีอะฮฺกับสุนนะฮฺรวมเป็นหนึ่งเดียวนั้นหาใช่เป็นเจตนารมณ์ของผู้เขียนบทความไม่ เพราะเป็นเพียงคำพูดที่สวยหรู ดูดี แต่ยากส์ในความเป็นจริง! ขอเพียงแค่ต่างฝ่ายต่างอยู่ ไม่ล้ำเส้นกัน ก็น่าจะพอ สู้กันด้วยความคิดและวิชาการ ใครมีดีอะไรก็งัดออกมาว่ากันเรื่องถกเถียง โต้แย้ง เป็นเรื่องปกติของชนทั้ง 2 ฝ่ายที่มีมานับพันปีแล้ว เป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ ครั้นจะไม่ถกเถียง ไม่โต้แย้งก็คงทำไม่ได้

 

และผู้เขียนบทความก็ไม่ใช่คนที่ชอบสร้างความแตกแยกโดยเฉพาะกับคนที่อ้างว่าเป็นอะฮฺลุสุสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ และไม่ใช่ผู้ที่สร้างความแตกแยกระหว่างสุนนะฮฺกับชีอะฮฺอย่างแน่นอน เพราะ 2 สิ่งนี้แยกกันมานานแล้ว ร้าวลึกจนยากจะสมาน มีจุดยืนที่ห่างกันจนสุดกู่ และการไม่ล้ำเส้นกันระหว่าง 2 ฝ่ายก็คือ ไม่เลยเถิดถึงขั้นประหัตประหารกันด้วยอาวุธอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศมุสลิมบางประเทศซึ่งไม่มีฝ่ายใดประสงค์ให้เกิดเรื่องเช่นนั้น

 

ส่วนสงครามทางความคิดระหว่าง 2 ฝ่ายนั้น ผู้เขียนบทความไม่ถือว่าเป็นการล้ำเส้นตราบใดที่มันเป็นเส้นขนานที่ระยะห่างระหว่าง 2 เส้นนั้น แต่ละฝ่ายที่อยู่คนละเส้นก็ยังคงชักเย่อตามสรรพกำลังของฝ่ายตนต่อไป จะให้ฝ่ายหนึ่งยอมให้อีกฝ่ายก็คงจะยาก!

 

วัลลอฮุวะลียุตเตาฟีก

อาลี  เสือสมิง